ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 “NEXT LEVEL” กลับมายืนเหนือ 1350 จุด

531

สายงานวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASPS ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด หลังเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยทั้งปัจจัยภายนอกประเทศที่ภาพเศรษฐกิจโลกที่ดูผ่อนคลายลงจากความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางวัฏจักรดอกเบี้ยโลกขาลงเริ่มชัดเจน โดยเฉพาะช่วง 3Q67 เชื่อว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยน หนุนให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพทยอยแข็งค่ามากขึ้น และปัจจัยภายในประเทศเริ่มจากความกังวลสถานการณ์การเมือง อาจมีแรงกดดันลดลง หลังคดีความต่างๆ เริ่มเห็นถึงกระบวนการที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทย BOTTOM OUT จากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายภาครัฐ (G) ภาคการการลงทุน (I) รวมถึงภาคการบริโภค (C) คาดเป็นตัวช่วยให้ GDP GROWTH ไทยทยอยเติบโตเป็นขั้นบันได โดยทั้งปี2567 ธปท.คาด GDP GROWTH อยู่ที่ระดับ +2.6%YoY 

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวเพิ่มว่า แม้การลดดอกเบี้ยในไทยอาจไม่เกิดขึ้นในปีนี้ดังประเทศอื่นๆ แต่ในช่วงไตรมาส 3 ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าลงทุนมากขึ้นจากหลายปัจจัย ดังนี้ 

1.มุมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 2Q67 ที่มีโอกาสเติบโตทั้งYoY เด่น จากฐานกำไรงวด 2Q66 ที่ต่ำกว่าปกติ และทรงๆตัว QoQ พร้อมกับมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมันยืนระดับสูงหนุนให้กำไรงวด 2Q67 มีโอกาสอยู่ในกรอบ 2.3 – 2.7 แสนล้านบาท 

2.มุม Valuation SET จะเห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1,300 จุด มี PER67F ที่ 14.2 เท่า (-1SD ในรอบ 10 ปี) และเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิดปี 2563 ขณะที่ในเชิง PBV มีค่าที่ 1.2 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี), Dividend Yield 3.5% (+1SD ในรอบ 10 ปี)  

3.มาตรการสร้างความเชื่อมั่นของ ตลท. เริ่มจาก 1 ก.ค.67 ประกาศการใช้กฎ UPTICK RULE ทุกบริษัท ซึ่งลดการทำธุรกรรม SHORT SELL ได้อย่างมีนัยฯ บวกกับคาดหวังเม็ดเงินจาก THAIESG เงื่อนไขใหม่ ที่อาจไหลกลับเข้ามาหนุนตลาดหุ้น 6 – 7 หมื่นล้านบาท และหนุนให้กองทุนลดสถานะเงินสดและซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นในพอร์ตช่วงเวลาที่เหลือของปี อีกทั้งมีกระแสการฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์ แบบการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำเพื่อพยุงตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ได้เม็ดเงิน THAIESG ใหม่เข้ามาหนุน กับ 2 ธีมหลัก คือ 1.หุ้นได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ AOT, CK และ 2.หุ้นปันผลระหว่างกาลสูง SIRI, ADVANC, TTB, TU

ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงไตรมาส 3 การคาดการณ์ Bond yield ไทยยังคง Sideway Down แนะนำทยอยซื้อหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade

ทีมผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดตราสารหนี้ไทยยังไปได้ดี และเป็นที่ต้องการของนักลงทุน โดยเฉพาะตราสารหนี้ไทยที่มีอายุไม่ยาวมากและมีอันดับเครดิตตั้งแต่ Invesetment grade ขึ้นไป ข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA แสดงให้เห็นว่า สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 ตลาดตราสารหนี้ไทยมีมูลค่าคงค้างเท่ากับ 17 ล้านล้านบาท ขยายตัว 2.7% จากสิ้นปีที่แล้ว จากการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเป็นหลัก ในส่วนของการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) มีมูลค่า 494,371 ล้านบาท โดย 95% เป็นการออกของหุ้นกู้ในกลุ่ม Investment grade ส่วนอีก 5% เป็นกลุ่ม High yield ซึ่งมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าการออกของกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นหุ้นกู้มีประกันในสัดส่วนที่สูงถึง 81% สาหรับในครึ่งแรกปี 2567 สูงขึ้นจาก 48% ในปี 2566 และมีอายุการออกเฉลี่ยที่ 2.2 ปี ลดลงจาก 2.5 ปี ในปี 2566

กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow) ของนักลงทุนต่างชาติในครึ่งแรก ปี 2567 เป็นการขายสุทธิตราสารหนี้ไทยทั้งในไตรมาส 1 และ 2 รวมเป็นมูลค่าการขายสะสมสุทธิตราสารหนี้ไทยจำนวน 66,514 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาด ผนวกกับการที่พันธบัตรรัฐบาลของอินเดียได้ถูกรวมในการคำนวณดัชนีตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ของ J.P. Morgan (GBI-EM) ที่จะส่งผลให้ตราสารหนี้ไทยมีสัดส่วนในดัชนีลดลง

ลัพธ์พร ปานะกุล

โดย ลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง คาดว่าตลาดตราสารหนี้ในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้ Yield curve ของไทยยังจะมีการเคลื่อนไหวแบบ Sideway Down จากการสำรวจของThaiBMA ผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในปี 2567 โดยมี 43% ที่คาดว่ามีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในรอบเดือนธันวาคมซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี โดยช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้เริ่มเห็น Flow การเข้าซื้อหุ้นกู้ระยะยาวมากขึ้น โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีการปรับตัวลดลงสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของตลาด US โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังถือว่าหุ้นกู้ในตลาดเป็นทางเลือกที่มั่นคงและปลอดภัย

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้ ภายใต้สภาวะตลาดดอกเบี้ยที่มียังคงอยู่ในระดับสูง แต่ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงในอนาคต คือ ทยอยสะสมซื้อหุ้นกู้โดยไม่ว่าเป็นการลงทุนผ่านตลาดแรกหรือตลาดรอง หรือลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมองว่าสามารถขยายอายุการลงทุนให้ยาวขึ้นได้ เช่น 5-7 ปี โดยหากปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าเริ่มมีการลดอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนจะได้ประโยชน์จากราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลตอบแทนในตลาดปรับตัวลดลง หรือกล่าวได้ว่ามีโอกาสขายทำกำไรได้ในอนาคตนั่นเอง

ดีแล้ว ดีอยู่ ดีต่อไปมั้ย

ในช่วงของครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้น พอร์ทคำแนะนำลงทุนของของฝ่ายกลยุทธ์ต่างประเทศของ บล.เอเซียพลัส ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 15.47%  ซึ่งผลตอบแทนส่วนมากมาจากหุ้นในสหรัฐอเมริกา เช่น7Magnificent, Semiconductor, Ai Theme แต่ก็มีอีกหลายตลาดที่ให้ผลตอบแทนดี ได้แก่ ญี่ปุ่น, อินเดีย และเวียดนาม คำถามสำคัญคือ เวลาที่เหลือในปีนี้หุ้นกลุ่มเดิมแต่ยังคงเป็นผู้นำตลาดอีกหรือไม่

ฤดูกาลประกาศงบการเงินใกล้เข้ามาเป็นตัวกำหนดตัวแรกว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะออกมาหน้าไหน เนื่องจากที่ผ่านมาความหวังในเรื่อง AI ค่อนข้างสูง และมาพร้อมกับฐานกำไรที่สูงของบริษัทในปีก่อน ถ้าผลออกมาดีกว่าคาดก็จะช่วยให้ Re-rating ของ P/E Ratio ที่สูงถึง 24 เท่า ในตอนนี้ให้ไปต่อได้ แต่หากไม่ใช่ ดัชนีก็จะเกิดการปรับฐานลงมาได้ โดยนักวิเคราะห์อย่าง Morgan Stanley, Bank of America ได้ออกมาบอกว่าระวังการปรับฐานและให้ Take Profit เสียบ้าง

ตัวกำหนดถัดมา คือ เรื่องลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่ปัจจุบันคาดว่าน่าจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกอยู่ที่เดือนกันยายน โดยการประชุมครั้งล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานธนาคารกลาง เจอโรม พาวเวลล์ ได้ระบุว่าจะไม่รอจนกว่าเงินเฟ้อปรับตัวลงอยู่ที่เป้าหมาย 2% ซึ่งทำให้ตลาดคาดว่าจะลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้งนั่นเอง

ตัวกำหนดสุดท้าย คือ การเลือกตั้งสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน โดยคะแนนความนิยมของอดีตประธานนาธิบดีอย่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง โจ ไบเดน ถูกโจมตีทั้งในเรื่องของการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจในช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา ประกอบกับการมีอายุมากถึง 81 ปี จึงถูกตั้งคำถามว่ามีอายุมากเกินไปรึเปล่า

ทั้งนี้หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปลายปีนี้ ตลาดหุ้นน่าจะได้รับประโยชน์จากเรื่องนโยบายการลดภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่มีบางกลุ่มที่อาจเสียประโยชน์โดยเรื่องสำคัญ ได้แก่ สงครามการค้าซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานสะอาดที่อาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นนั่นเอง

กลยุทธ์ที่เหมาะสม จึงมองว่าการ Take Profit บางส่วนบ้าง และบริหารพอร์ตการลงทุนด้วย Structured Notes ในหุ้นกลุ่มที่ทำให้เราได้กำไรมาตอนต้นปี หากหุ้นผันผวนยังพอมีเกราะคุ้มกันได้ระดับหนึ่ง หากปลายปีฟ้าฝนเป็นใจให้ดอกเบี้ยลดลงบ้าง วันนั้นน่าจะเห็น Sector Rotation ไปยังหุ้นกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็กอีกครั้ง